วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แนวปฏิบัติเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์/ ดุษฎีนิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา



รายงานสรุปจาก “โครงการสัมมนาบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๗
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ณ ห้องประชุมดอกปีบ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ
วันพุธที่ ๗ และวันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
*****************

แนวปฏิบัติเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์/ ดุษฎีนิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา

๑.  ด้านเนื้อหาของวิทยานิพนธ์
          ๑.๑  เนื้อหาของวิทยานิพนธ์ต้องมีทฤษฎีรองรับและสามารถอธิบายที่มาของการใช้ทฤษฎี และระเบียบวิธีวิจัยได้ถูกต้อง
          ๑.๒  อาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ควรตรวจสอบเนื้อหาของวิทยานิพนธ์ให้สอดคล้องกับทฤษฎีที่นำมาใช้
          ๑.๓  อาจารย์ที่ปรึกษาควรอ่านเอกสารวิชาการคู่ขนานกับเอกสารที่นิสิตอ่านหรืออ้างอิง เพื่อทำความเข้าใจและตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่นิสิตเรียบเรียงในวิทยานิพนธ์
          ๑.๔  อาจารย์ที่ปรึกษาควรแนะนำให้นิสิตจัดทำตารางการทบทวนวรรณกรรม เพื่อสะดวกในการค้นหาและอ้างอิง
          ๑.๕  คณะพยาบาลศาสตร์ควรจัดตั้ง Research Forum เพื่อให้อาจารย์แบ่งปันประสบการณ์การประยุกต์ความรู้มาใช้ในการให้คำแนะนำการทำวิทยานิพนธ์แก่นิสิต โดยอาจจะนำประเด็นปัญหาด้านการใช้สถิติมาพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน
          ๑.๖  อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ควรให้คำแนะนำแก่นิสิตด้านการคัดเลือกวารสารวิชาการที่เหมาะสมแก่นิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
          ๑.๗  เอกสารวิชาการที่นิสิตนำมาอ้างอิงในวิทยานิพนธ์ควรเป็นเอกสารใหม่ และเขียนมาแล้วไม่เกิน ๕ ปี
๒.  รูปแบบวิทยานิพนธ์
          ๒.๑  อาจารย์ที่ปรึกษาควรศึกษารูปแบบการเขียนวิทยานิพนธ์ เพื่อให้คำแนะนำแก่นิสิตได้อย่างถูกต้อง
          ๒.๒  งานบัณฑิตศึกษาควรรวบรวมข้อผิดพลาดของนิสิตในการทำวิทยานิพนธ์ที่พบบ่อย เพื่อให้คำแนะนำและแนวทางที่เหมาะสมแก่นิสิต

๓.  ด้านการใช้ภาษาและการเรียบเรียง
          ๓.๑  อาจารย์ที่ปรึกษาควรตรวจสอบและแนะนำนิสิตด้านการเรียบเรียงเนื้อหาในวิทยานิพนธ์ รวมทั้งการเชื่อมโยงเนื้อหาแต่ละส่วนให้มีความราบรื่น
          ๓.๒  อาจารย์ที่ปรึกษาควรตรวจสอบและแนะนำนิสิตในการใช้วรรคตอนและคำเชื่อมอย่างถูกต้อง เหมาะสม ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อการสื่อสารเนื้อหาได้ชัดเจน ถูกต้อง
๔.  การจัดการกับประเด็น ปัญหาที่พบบ่อย
          ๔.๑  บทที่ ๑
                   ๔.๑.๑  ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ควรมีความยาวประมาณ ๓-๕ หน้า
                   ๔.๑.๒  ควรเขียนสมมติฐานให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
                   ๔.๑.๓  ควรเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยระบุถึงการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้ครบมิติการพยาบาล ได้แก่ การปฏิบัติการพยาบาล การศึกษาพยาบาล การบริหารการพยาบาล และการวิจัยทางการพยาบาล
                   ๔.๑.๔  ขอบเขตการวิจัยควรระบุประชากร (ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร) และ ตัวแปรที่ศึกษา (ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม) ให้ชัดเจน
                   ๔.๑.๕  ควรเขียนนิยามศัพท์เฉพาะให้เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ มิใช่นิยามเชิงทฤษฎี
          ๔.๒  บทที่ ๒
                   ๔.๒.๑  ควรอ้างอิงเอกสารวิชาการที่เป็นการอ้างอิงลำดับที่๑ (Primary Source)   และมีความทันสมัย โดยควรค้นคว้าตำรา/ หนังสือ/วารสารต่างประเทศให้มากขึ้น
                   ๔.๒.๒  ในบทที่ ๒ ควรเขียนกล่าวนำและสรุปหัวข้อที่จะนำเสนอในเนื้อหา และการนำเสนอหัวข้อในเนื้อหาต้องเป็นลำดับตรงกัน รวมทั้งถูกต้องตามรูปแบบ
          ๔.๓  บทที่ ๓
                   ๔.๓.๑  ควรเข้าใจและกำหนดประชากรที่ศึกษาให้ชัดเจน เพื่อคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างให้ชัดเจนว่าเป็นใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด และจำนวนเท่าไร (หากสามารถคาดคะเนได้) เพื่อนำมาสู่การกำหนดกลุ่มตัวอย่างและการสุ่มต้วอย่างต่อไป
                   ๔.๓.๒  ควรจัดสัมมนาผู้สอนในรายวิชาแกน เช่นวิชาวิจัยฯ สถิติฯ และวิชานโยบายฯ เพื่อจัดทำและกำหนดข้อตกลงของผู้สอนให้สอดคล้องกัน
                   ๔.๓.๓  อาจารย์ควรหาข้อสรุปเกี่ยวกับการใช้คำ “โปรแกรม” และ “รูปแบบ” ในการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อการใช้คำที่ตรงกัน
                   ๔.๓.๔  ควรกล่าวถึงการป้องกันความเสี่ยงของผู้เข้าร่วมการวิจัย การให้ความยินยอม และการรักษาความลับ ในหัวข้อ “การพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่าง”
                   ๔.๓.๕  ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยควรระบุว่าผู้วิจัยต้องการเก็บข้อมูลด้วยวิธีใด ใครเป็นผู้เก็บข้อมูล (ผู้วิจัย/ ผู้ช่วยวิจัย) วิธีการเตรียมผู้ช่วยวิจัย โดยเรียบเรียงเป็นขั้นตอนอย่างครบถ้วน
          ๔.๔  บทที่ ๔
                   ๔.๔.๑  อาจารย์ที่ปรึกษาควรหาข้อสรุปร่วมกันในการอ่านตาราง และการอ่านค่าสถิติต่างๆ
          ๔.๕  บทที่ ๕
                   ๔.๕.๑  นิสิตควรเชื่อมโยงการเขียนอภิปรายผลไปยังสรุปผลการวิจัย
                   ๔.๕.๒  นิสิตไม่ควรเขียนอภิปรายผลโดยการกล่าวถึงข้อเสีย ข้อผิดพลาด หรือการกล่าวโทษหน่วยงานหรือแหล่งข้อมูลที่นิสิตเก็บข้อมูล
          ๔.๖  อื่นๆ
                   ๔.๖.๑  อาจารย์ที่ทำหน้าที่ควบคุมวิทยานิพนธ์เป็นผู้ที่อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) ของนิสิตตลอดระยะเวลาของการดำเนินการวิทยานิพนธ์ ดังนั้น อาจารย์ควรสรุป Best Practice ของการควบคุมวิทยานิพนธ์ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจการแก้ปัญหา และวิธีการเผชิญปัญหาในการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์
                   ๔.๖.๒  อาจารย์ผู้สอนวิชาวิจัยและสถิติ ควรแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและประสบการณ์ในการสอนร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนที่สร้างความเข้าใจแก่ผู้เรียนในเรื่องการทำวิจัย และการกำหนดหนังสือหลักในรายวิชา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำวิทยานิพนธ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น